วิตามินเป็นสิ่งที่ร่างกายต้องการในปริมาณน้อย แต่ก็ขาดไม่ได้เช่นกัน และอาหารเสริมวิตามินต่างๆ ในไทยมีมากมายหลายยี่ห้อ แต่จะรู้ได้อย่างไรว่าจำเป็นต้องกินอาหารเสริมประเภทไหน หรือต้องกินเมื่อไร หรือมีความจำเป็นต้องกินจริงหรือไม่ – กินวิตามิน

กินวิตามิน_Bwarin

ความจริงแล้ว กินวิตามินและอาหารเสริมเมื่อไหร่ก็ได้ โดยจะกินเวลาท้องว่าง หรือพร้อมอาหาร หลังอาหารก็ได้ แต่เพื่อให้ได้ผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพที่ร่างกายจะได้รับ ดังนั้นเราควรเลือกเวลาที่ร่างกายเราดูดซึมได้ดีที่สุดและควรจะกินให้ตรงเวลาทุกวันเพื่อเป็นการสร้างนิสัย ไม่งั้นนอกจากเราจะไม่เห็นผลแล้ว ยังสิ้นเปลืองเงินที่จ่ายไปอีก

วิตามินมีอยู่ 2 กลุ่มคือ กลุ่มที่ละลายในน้ำกับละลายในไขมัน  วิธีการกินวิตามิน ทั้ง 2 แบบนี้ก็ต้องมีวิธีกินที่แตกต่างกันแน่นอน จึงจะให้ผลเริ่ดที่สุด

วิตามินที่ละลายในไขมันมีดังนี้

  • วิตามินเอ (Vitamin A)
  • วิตามินดี (Vitamin D)
  • วิตามินอี (Vitamin E)
  • วิตามินเค (Vitamin K)

วิตามินที่ละลายในน้ำมีดังนี้

  • วิตามินซี (Vitamin C) คือ วิตามินที่ปลอดภัย สามารถกินเป็นอาหารเสริมได้ แต่อย่าลืมอ่านฉลากข้างกล่องดูปริมาณที่แนะนำด้วยกันด้วยนะ
  • วิตามินบี (B Complex) ทุกตัว

กินวิตามิน1_Bwarin

วิตามินเอ

ช่วยในเรื่องของระบบสายตา และเสริมสร้างเนื้อเยื่อ ด้านผิวพรรณชะลอความแก่ ลดอาการอักเสบของผิว ควรทานพร้อมอาหารที่มีไขมันเล็กน้อย ปริมาณที่แนะนำในการรับประทานนั้น อยู่ที่ไม่เกิน 50,000 IU ต่อวัน และถ้ามีการรับประทานยาคุม ก็ไม่ควรทานวิตามินเอร่วมด้วย

วิตามินอี

ซึ่งดูแลเรื่องเม็ดเลือดแดงและผิวหนัง ป้องกันเซลล์ถูกทำลายจากสารอนุมูลอิสระ ช่วยลดเลือนริ้วรอย รอยไหม้จากแดดและรอยแผลเป็นได้ดี ให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวเหมาะสำหรับคนที่มีผิวแห้ง ให้ทานพร้อมอาหารที่มีไขมันเล็กน้อย การรับประทานวิตามินอี ทั้งในรูปแบบเม็ดหรืออาหารเสริมนั้น ควรอยู่ที่ 200 – 1,200 IU ต่อวัน และห้ามทานพร้อมธาตุเหล็กนะ มันไม่ถูกกัน

วิตามินเสริม Co Q10

การกิน Co Q10 นั้นช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งและช่วยบำรุงสมองกับหัวใจอีกด้วย หากต้องการกินวิตามินตัวนี้ ก็ควรกินหลังอาหาร เนื่องจากจะสามารถดูดซึมได้ดีขึ้น พร้อมกับไขมันในอาหารที่คุณรับประทานเช่นกัน และถ้ากินเพื่อรักษาสมดุลให้ร่างกายแนะนำว่าให้กินในปริมาณ 30 มิลลิกรัมต่อวัน แต่ถ้ารักษาโรคก็สามารถกินได้ 50 – 100 มิลลิกรัมต่อวัน

วิตามินซี

เพราะร่างกายของเรา  ไม่สามารถสร้างวิตามินซีเองได้ แต่สามารถรับได้จากอาหารที่เรากินเข้าไปและจากอาหารเสริม วิตามินซีนั้นช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรคต่างๆ ได้ดี มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดเลือนริ้วรอย ช่วยควบคุมคอเลสเตอรอลในเลือด

วิตามินซีเสื่อมสภาพเร็ว ไม่ควรซื้อขวดใหญ่ให้ซื้อขวดเล็กให้พอทาน 1 เดือน ทานเวลาไหนก็ได้กับน้ำเปล่า หรือพร้อมอาหาร วิตามินซีชนิดธรรมดาควรแบ่งกินครั้งละ 250-500 มิลลิกรัม

กินวิตามิน3_Bwarin

วิตามินบีรวม

วิตามินบีมีอยู่หลายชนิด แต่ละชนิดก็มีคุณสมบัติต่างกันออกไป เช่น วิตามินบี 1 ช่วยบำรุงประสาท วิตามินบี 2 ช่วยบำรุงผิวพรรณ วิตามินบี 3 ช่วยควบคุมระดับคอเลสเตอรอล และดูแลเรื่องระบบย่อยอาหาร วิตามินบี 5 ช่วยให้ลดความตึงเครียด วิตามินบี 9 หรือกรดโฟลิก ช่วยชะลอการหงอกของเส้นผมและบำรุงผิวพรรณ ฯลฯ ซึ่งเราควรกินวิตามินบีรวมโดยไม่แยกชนิด เพราะจะออกฤทธิ์ได้ดีกว่า ส่วนเวลาในการกินนั้นควรเป็น 30 นาที ถึง 1 ชั่วโมงก่อนอาหาร เพราะร่างกายจะดูดซึมไปใช้ได้ทีที่สุด

สารสกัดจากเมล็ดองุ่น

หรือ Grape Seed ช่วยทำให้ผิวนุ่ม ชุ่มชื่น เพราะไปช่วยกระตุ้นคอลลาเจนในร่างกาย ทำให้เกิดความยืดหยุ่นของผิว แถมยังช่วยทำให้สีผิวที่ไม่สม่ำเสมอ ดำคล้ำ ค่อยๆ จางลง อีกทั้งยังช่วยในเรื่องของการหมุนเวียนของเลือด บรรเทาอาการมือเท้าชา รักษาเส้นเลือดขอด และบำรุงสายตา สามารถกินพร้อมน้ำเปล่า แต่แนะนำว่าควรกินคู่กับวิตามินซี และควรกินในช่วงเช้า เพราะร่างกายกำลังดูดซึมได้ดีที่สุด ช่วงเวลาไม่ควรเกิน 9.00 น.

กินวิตามิน2_Bwarin

น้ำมันอีฟนิ่ง พริมโรส

อีฟนิ่ง พริมโรสเป็นวิตามินที่เหมาะกับเพศหญิงมากกว่า เพราะช่วยในเรื่องของการปรับฮอร์โมน เราจะสังเกตได้ว่าสาววัยใกล้หมดประจำเดือนจะถูกแนะนำให้ทานตัวนี้เพื่อปรับฮอร์โมนนั่นเอง ให้ทานพร้อมวิตามินอี หากไม่มีวิตามินอีประโยชน์ของน้ำมันอีฟนิ่งจะสลายตัวไปอย่างรวดเร็ว (วิตามินอีที่มาจากธรรมชาติแทน เพราะถ้ายิ่งเสริมด้วยวิตามินอีสกัดในปริมาณมากเกินไปจะพาให้ร่างกายไม่ไหวแทน) และให้ทานพร้อมกับอาหารที่มีไขมันเล็กน้อย

สังกะสี

สังกะสี หรือซิงค์ช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโตให้กับร่างกาย เป็นส่วนสำคัญต่อการสร้างโปรตีนและคอลลาเจน ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานให้กับร่างกาย ช่วยในการรักษาสิว บรรเทาอาการอักเสบของสิว ด้วยการไปรักษาสมดุลของปริมาณไขมันในผิวหนัง สังกะสีทานได้ทุกวันอายุ 19 ปีขึ้นไปวันละ 9 มิลลิกรัมต่อวันและในคนที่ขาดวิตามินนี้หรือร่างกายต้องการมากกว่าคนปรกติก็ 20 – 30 มิลลิกรัม และถ้ามากกว่านี้ควรอยู่ในความดูแลของแพทย์ และให้กินขณะท้องว่าง หรือไม่ก็พร้อมอาหารที่มีโปรตีนสูง

กรดอะมิโนต่างๆ

กรดอะมิโนเป็นหน่วยเล็กๆ ของโปรตีนในร่างกายที่นำไปใช่กับร่างกายและสมอง เป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้าง DNA ที่ช่วยให้ร่างกายทำงานได้อย่างเต็มที่ กรดอะมิโนเป็นกรดที่จำเป็นต่อสมอง เพราะเป็นองค์ประกอบสำคัญของสารสื่อประสาทที่ให้สมองสั่งการ ควบคุมร่างกาย แต่กรดอะมิโนก็มีหลายอย่าง เช่น กรดอะมิโนที่จำเป็นและไม่จำเป็นกับร่างกาย ให้กินขณะท้องว่าง ก่อนอาหาร 30 นาที – 1 ชั่วโมง หรือหลังอาหาร 1 ชั่วโมง 30 นาที

 

เรากินอาหารเสริมก็เพื่อมาเสริมในส่วนที่ขาด สิ่งที่เราต้องให้ความสำคัญ คือ ความสมดุลย์ของอาหารทานให้ครบทั้ง 5 หมู่และออกกำลังกาย เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารครบถ้วน แข็งแรงจะได้ไม่ต้องเสียเงินเสริมด้วยการกินวิตามินยังไงล่ะ