ครีมกันแดด เลือกอย่างไรให้เหมาะ ทายังไงไม่ให้เป็นสิว
แน่นอนว่าบนโต๊ะเครื่องสำอางหรือโต๊ะเครื่องแป้งของทุกคนต้องมีครีมกันแดดกันอยู่แล้วใช่ไหมล่ะ แล้วตอนนี้ที่ใช้อยู่นั้นเป็นครีมที่ตอบโจทย์คุณแล้วหรือยัง เพราะบางครั้งการเลือกครีมกันแดดที่มีค่าการป้องกันมากเกินการใช้งานก็จะทำให้ได้รับสารเคมีที่ผิวมากเกินไปเสียอีก หรือบางครั้งก็อุดตันจนเกิดเป็นสิวเม็ดแดงอักเสบมาให้ปวดใจกันอีก เพราะงั้นมาดูกันว่าเราควรจะเลือกกันแดดยังไงให้เหมาะกับเรา เหมาะกับสถานการณ์ แล้วก็เหมาะกับโทนสีเราด้วย
แนวทางการเลือก ครีมกันแดด อย่างถูกวิธี
1.สภาพผิว
ก่อนอื่นดูเสียก่อนว่าผิวของตัวคุณเองนั้นมีสภาพเป็นแบบไหนกัน ผิวแห้งไหม เป็นสิวไหม หรือผิวหน้ามัน เพราะการเลือกลักษณะเนื้อครีมก็มีผลต่อประสิทธิภาพเช่นกัน
ผิวแห้ง : เนื้อครีมที่มีส่วนผสมของน้ำมัน เพื่อช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว
ผิวแพ้ง่าย : เนื้อเซรั่มหรือโลชั่นเนื้อบางเบา ต้องไม่แอลกอฮอลล์และไม่มีน้ำหอมผสมที่ทำให้เกิดอาการแพ้
ผิวมัน : เนื้อโลชั่น มากกว่าแบบครีมที่หนาและผสมน้ำมันมาก เพราะคนผิวมันมีโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นสิวมากกว่าผิวแห้ง
และที่สำคัญสำหรับคนที่เป็นสิวนอกจากเรื่องลักษณะเนื้อครีมแล้ว ส่วนประกอบก็ควรเช็คให้ดีว่าตัวคุณเองแพ้อะไรไหม หรือควรที่จะไม่มีซิลิโคนผสมมา ถึงแม้ว่าจะดีในเรื่องช่วยอำพรางรูขุมขน แต่ก็อุดตันนะเธอ
2.โทนสีผิว
นอกจากสภาพผิวของแต่ละคนโทนสีผิวก็มีผลกับครีมด้วยเช่นกัน เพราะผลแต่ละคนมีระยะการป้องกันไม่ให้ผิวแดงได้ต่างกัน คนที่ขาวกว่าก็จะมีโอกาสผิวแดงจากแดดได้มากกว่าคนที่มีสีผิวเข้มกว่า
ผิวขาวอมชมพู : ผิวแบบนี้จะเป็นผิวที่มีความบอบบางมาก จะเกิดปฏิกิริยากับแสงแดดได้อย่างรวดเร็ว จึงมีโอกาสผิวเสียง่ายกว่าสภาพโทนผิวแบบอื่นๆ ระยะเวลาที่โดนแดดแล้วจะเกิดอาการแดงจะอยู่ประมาณ 10 นาที ครีมกันแดดที่เหมาะในแดดปกติ จึงควรเป็นครีมที่มีค่า SPF สูงๆ ตั้งแต่ SPF 30-45
ผิวขาวเหลือง : สำหรับผิวแบบนี้จะมีความบอบบางเหมือนกันคนผิวขาวอมชมพู แต่ก็มีเมลานินสูงกว่าหน่อย ซึ่งจะช่วยปกป้องผิวไม่ให้เกิดการไหม้จากแสงแดดได้ดี ระยะเวลาที่โดนแดดแล้วจะเกิดอาการแดงจะอยู่ประมาณ 10 นาทีพอกับคนขาวอมชมพู ครีมที่เหมาะในแดดปกติจึงเป็นครีมที่มีค่า SPF แบบกลางๆ คือ SPF 30
ผิวสองสีหรือผิวคล้ำ : ผิวแบบนี้ เป็นผิวที่มีเมลานินสูง เวลาถูกแสงแดดทำร้ายจึงทำให้ผิวคล้ำเสียอย่างเห็นได้ชัด แต่ไม่ถึงกับผิวไหม้เห็นเป็นสีแดงเหมือนคนที่ขาวกว่า ระยะเวลาที่โดนแดดแล้วจะเกิดอาการแดงจะมากกว่าคนผิวขาวกว่าโดยจะอยู่ประมาณ 15 นาที โดยครีมกันแดดที่เหมาะในแดดปกติ จะเป็นครีมที่มีค่า SPF ต่ำๆ คือ SPF 15 นั่นเอง
3.ต้องมี SPF เท่าไหร่
เป็นปกติอยู่แล้วเวลาที่เราจะไปซื้อครีมกันแดดสักตัวแทบจะทุกโปรดักซ์ก็จะเขียนว่ามี SPF15 บ้าง SPF30 หรือ SPF50 ก็มี แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าผิวเราต้องใช้ค่า SPF อยู่ที่เท่าไหร่กันแน่ ซึ่งค่า SPF หรือ Sun Protection Factor เป็นตัวระบุระดับการปกป้องผิวจากรังสียูวีบี หรือพูดง่ายๆ ก็คือจำนวนเท่าของเวลาที่ผิวทนต่อรังสีอัลตราไวโอเลตนี้ได้หลังจากทาครีมแล้ว เช่น คนผิวขาวอมชมพูและผิวขาวเหลืองจะสามารถอยู่กลางแดดได้ประมาณ 10 นาที แล้วใช้กันแดดที่มี SPF 30 นั่นจะแปลได้ว่า เราสามารถอยู่กลางแดดหลังจากทากันแดดได้ 10×30 = 300 นาที หรือประมาณ 5 ชั่วโมงนั่นเอง แต่ว่ามันอาจจะลดลงไปกว่านี้ได้เช่นการซับหน้า หรือมีเหงื่อไหล เพราะฉะนั้นทาซ้ำทุก 2 ชั่วโมงจะดีที่สุด
4.PA ต้องบวกเท่าไหร่
ยังไม่พอ SPF แล้วยังมี PA และตามท้ายด้วยเครื่องหมายบวกอีก แล้วมันคืออะไรกันอีกล่ะเนี่ย มันคือค่าที่แสดงถึงคุณสมบัติในการปกป้องผิวจากรังสียูวีเอ เป็นสาเหตุให้ผิวเราแก่ เหี่ยว ริ้วรอย ส่วนเครื่องเครื่องหมาย + ที่ตามหลังนั้นคือค่าความสามารถในการปกป้องผิว โดยวัดเป็นเท่าของการเกิดผิวคล้ำดำ โดยค่า PA จะมีอยู่ด้วยกัน 3 ระดับ ดังนี้
- PA+ สามารถป้องกันรังสี UVA ได้ 1-4 เท่าของผิวปกติ หรือป้องกันได้น้อย
- PA++ สามารถป้องกันรังสี UVA ได้ 4-8 เท่าของผิวปกติ หรือป้องกันได้ปานกลาง (ทำงานในร่ม)
- PA+++ สามารถป้องกันรังสี UVA ได้ 8-16 เท่า หรือป้องกันได้มาก (ทำงานกลางแดด)
- PA++++ สามารถป้องกันรังสี UVA ได้ 16 เท่าขึ้นไป หรือป้องกันได้สูงมาก (ทำงานกลางแดดตลอดเวลา)
เห็นไหมว่าบางครั้งเราก็ไม่จำเป็นต้องเลือกค่าอะไรให้มันมาก ๆ ไว้ก่อน แต่ควรเลือกครีมกันแดดที่เหมาะกับสถานการณ์หรือสภาพผิวของเรา จะได้ใช้อย่างคุ้มค่า เหมาะสม และไม่ก่อให้เกิดสิวตามมาอีกด้วย