เมื่อพูดถึงแว่นกันแดด เชื่อว่าทุกคนคงมีไม่ต่ำกว่า 2-3 แบรนด์ที่อยู่ในใจ แต่แน่นอนว่าจะต้องมีแบรนด์ชื่อดังของอเมริกาแบรนด์นี้ติดอยู่ในลิสต์อันดับต้นๆ แน่นอน นั่นคือ “Ray-Ban” ด้วยรูปทรงที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของแว่นตาแต่ละรุ่น วัสดุที่ใช้ในการผลิตมีน้ำหนักเบาแต่แข็งแกร่ง ทนทาน หรือในฝั่งของเลนส์ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงซึ่งสามารถกันแดดได้จริง และสุดท้ายที่ลืมไม่ได้คือกลิ่นอายความเป็นแฟชั่นที่หาตัวจับยาก นี่คือเหตุผลที่ทำให้เรย์แบนได้รับความนิยมไปทั่วโลก
แต่ก่อนที่จะมาครองตลาดแว่นตายอดนิยมตลอดกาลของโลก ที่ไม่มีใครสามารถล้มได้อย่างทุกวันนี้ ใครจะรู้ว่า เรย์แบน ต้องผ่านร้อนผ่านหนาวมาอย่างโชกโชน เผชิญปัญหาการเปลี่ยนผ่าน ต่อสู้กับคู่แข่งเพื่อแลกกับการยืนอยู่หัวแถว ตลอดจนการฟันฝ่าวิกฤตที่เกือบทำให้ไม่มีชื่อ “Ray-Ban” ปรากฏต่อสายตา วันนี้เราขออาสาพาไปเจาะลึกเรื่องราวของ เรย์แบน ตั้งแต่ยุคก่อตั้งจนถึงจุดพีคของแบรนด์ ว่าอะไรคือสิ่งที่ขับเคลื่อนความเป็นตัวตน อะไรที่ทำให้ก้าวข้ามความล้มเหลวและพยุงตัวเองขึ้นมาได้ อะไรที่ทำให้ยังคงรักษาฐานความนิยมไว้ได้อย่างเหนียวแน่นจนถึงทุกวันนี้
กว่าจะเป็นเรย์แบรนด์
จุดเริ่มต้นของ Ray-Ban นั้นมาจากสองผู้อพยพชาวเยอรมันนี John Jacob Bausch และ Henry Lomb ที่เดินทางเข้ามาในสหรัฐอเมริกาในปี ค.ศ. 1853 โดยทั้งคู่เริ่มต้นทำธุรกิจเกี่ยวกับการผลิตเลนส์สายตา ภายใต้ชื่อบริษัทว่า Bausch & Lomb หลังจากนั้นไม่นานดูเหมือนว่าโชคชะตาจะเข้าข้าง พวกเขาได้รับการติดต่อจากกองทัพอากาศสหรัฐอเมริกา โดย นายพล John Macready เพื่อขอให้ช่วยออกแบบอุปกรณ์ที่สามารถปกป้องดวงตาจากแสงของดวงอาทิตย์และแสงสีฟ้า จนได้หน้าตาของแว่นในแบบทดลองออกมาในปี 1936
จากนั้นในปี 1937 Bausch & Lomb ได้เปิดตัว “Ray-Ban” รุ่น Aviator ที่สามารถป้องกันแสงสะท้อนและแสงสีเขียวได้ โดย Aviator กลายเป็นที่จดจำเมื่อภาพถ่ายของ นายพล Macarthur สวมแว่นตาสุดเท่รุ่นนี้ ขณะนำเครื่องบินลงจอดในฟิลิปปินส์เพื่อปฏิบัติภารกิจในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ขึ้นหราอยู่ในหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง


ต่อมาในช่วงยุค 30s และ 40s เรย์แบนได้พัฒนาแว่นของพวกเขาออกมาให้ได้ยลโฉมเพิ่มอีก 2 รุ่น นั่นคือ Outdoorsman และ Shooter ซึ่งไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับนักบินเพียงอย่างเดียว แต่ได้คิดค้นและออกแบบเลนส์ขึ้นมาใหม่ นั่นคือเลนส์แบบ Gradient ซึ่งเลนส์ตัวนี้จะไล่ระดับสีจากเข้มไปหาอ่อน และเป็นเลนส์กระจกสะท้อน โดยภายหลังเรย์แบนได้ส่งแว่นตาเหล่านี้ให้กับทหารที่กำลังรบในสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี 1939-1945 อีกด้วย เพื่อช่วยปกป้องดวงตาจากฝุ่นต่างๆ ในสนามรบ นับเป็นอุปกรณ์สำคัญที่มีประโยชน์อย่างมากสำหรับทหารในช่วงสงครามทีเดียว
การกล่าวขานของผู้คน
ชื่อเสียงของเรย์แบนเป็นที่รู้จักมากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงยุค 50s ซึ่งหากจะบอกว่าเป็นยุคทองอันเฟื่องฟูที่สุดของเรย์แบนก็คงไม่เกินจริงนัก เมื่อมีการเปิดตัวแว่นกันแดดรุ่นใหม่คือ Wayfarer ซึ่งถือเป็นรุ่นที่ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม จนว่ากันว่ามีเพียง 3 เรื่องเท่านั้น ที่ผู้คนให้ความสนใจและเป็นหัวข้อสนทนา เรื่องแรกคือเครื่องบิน สองดนตรีร็อกแอนด์โรล และสุดท้าย แว่นตา Ray-Ban Wayfarer ที่นอกจากจะได้รับความสนใจจากสื่อและประชาชนเป็นอย่างมากแล้ว เหล่าคนดังแห่งยุคไม่ว่าจะเป็น Marilyn Monroe James Dean และ Tom Cruise ต่างก็พร้อมใจกันใส่ Wayfarer กันทั้งในจอและนอกจอ (ช่วงปี 1982 -1987 เฉลี่ย 60 เรื่องต่อปี!) นี่เองเป็นจุดเปลี่ยนครั้งยิ่งใหญ่ของ เรย์แบน ที่ทำให้คนทั่วโลกรู้ว่าแว่นกันแดดของ เรย์แบนไม่ได้เป็นเพียงอุปกรณ์กันแดดเท่านั้น แต่ยังเป็นแอคเซสซอรีชิ้นสำคัญที่ขาดไม่ได้ โดยเฉพาะผู้คนในแวดวงแฟชั่น นอกจาก Wayfarer แล้ว เรย์แบน ได้ผลิตเลนส์แบบ Photchromic ที่เป็นฟิล์ม Polymer ที่สามารถเปลี่ยนสีเลนส์ให้เข้มขึ้นทันทีที่สัมผัสกับรังสียูวีด้วย
เมื่อรู้ตัวว่า Wayfarer มีกระแสตอบรับดีและสามารถครองความนิยมได้อย่างต่อเนื่อง เรย์แบนจึงตัดสินใจส่งกรอบแว่นรุ่นใหม่ออกมา 2 แบบ นั่นคือ Signet และ Caravan ซึ่งก็ไม่ผิดไปจากที่คาดไว้ เพราะได้รับกระแสตอบรับอย่างดีเยี่ยม แม้จะไม่เท่ากับลูกรักอย่าง Wayfarer แต่ยังคงทำให้ชื่อเสียงของเรย์แบนนั้นพุ่งทะยานขึ้นไปเรื่อยๆ จนเข้าไปอยู่ในลิสต์ระดับหัวแถวที่ผู้คนพูดถึงมากที่สุดในขณะนั้น และจากเดิมที่ได้รับความนิยมเฉพาะผู้ชายเท่านั้น กลับกลายเป็นว่าผู้หญิงเองก็อยากจะใส่บ้าง เมื่อเห็นฟีดแบคดี เรย์แบนจึงไม่รอช้าตัดสินใจเปิดสายการผลิตที่ออกแบบมาเพื่อผู้หญิงโดยเฉพาะ และถือว่าเป็นการขยายฐานตลาดที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี


ด้านมืดและฝันร้ายของธุรกิจ
ขึ้นชื่อว่า “ธุรกิจ” มีขาขึ้นก็ย่อมมีขาลงเป็นเรื่องธรรมดา แต่สำหรับเรย์แบนแล้วถือว่าเป็นขาลงที่เปรียบเสมือนฝันร้ายของแบรนด์เลยก็ว่าได้ ด้วยภาพลักษณ์ที่สั่งสมมาตั้งแต่แรกเริ่ม ดารานักแสดงที่มีชื่อเสียงล้วนใส่แว่นตาของ Ray-Ban แทบจะทุกคน จนทำให้มียอดขายเพิ่มขึ้นถึง 40% แต่ทว่าเรย์แบนกลับตัดสินใจลดราคา และลดคุณภาพวัสดุที่ใช้ในการผลิตลง เพื่อนำทุนไปเปิดตลาดอุปกรณ์เสริมต่างๆ แทน แต่ท้ายที่สุดเหมือนฟ้าผ่า แผนต่างๆ ไม่เป็นไปอย่างที่คิด แบรนด์ประสบปัญหาอย่างมากจนทำให้ในปี 1990 หรือในช่วงยุค 80s แว่นเรย์แบนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลย กลับถูกลดคุณค่าให้เหลือเพียงแว่นตาธรรมดาเท่านั้น!
มากกว่านั้น เรย์แบนยังคงเจอมรสุมต่อเนื่องทั้งจากปัญหาภายในองค์กร หรือแม้แต่การถือกำเนิดของคู่แข่งใหม่ตัวฉกาจอย่าง Oakley ที่นับวันจะยิ่งเติบโตและได้รับความนิยมมากขึ้นจนแทบจะเรียกว่าหายใจรดต้นคอเลยทีเดียว จนในที่สุดแว่นกันแดดที่มีภาพลักษณ์เหมือนแม่เหล็กคอยดึงดูดผู้คนเข้าหา เคยได้รับความนิยมอย่างท่วมท้นกลับถูกมองข้าม และสามารถหาซื้อได้ตามร้านสะดวกซื้อ หรือแย่ที่สุดคือเรย์แบนถูกพบเจอได้ง่ายๆ ในปั๊มน้ำมัน!
ถึงเวลาทวงคืนความยิ่งใหญ่
ในช่วงที่เรย์แบนต้องเจอกับมรสุมลูกใหญ่ก็ไม่ต่างอะไรกับแบรนด์ที่กำลังจะตาย เรียกได้ว่าเข้าขั้นโคม่าเลยทีเดียว แต่เหมือนพระเจ้าประทานความเมตตา เมื่อบริษัทแว่นตายักษ์ใหญ่แห่งหนึ่งจากอิตาลีให้ความสนใจ และมองเห็นโอกาสทองในยุควิกฤตเช่นนี้ อีกนัยหนึ่งอาจต้องการทวงคืนและสานต่อความเป็น Legend ให้กับ Ray-Ban ก็เป็นไปได้ บริษัทยักษ์ใหญ่ชื่อดังที่ว่านี้คือ Luxottica ผู้ผลิตกรอบแว่นตาและชิ้นส่วนต่างๆ ให้กับแบรนด์ชั้นนำมากมาย อาทิ Armani, Bvlgari, Persol, Brook Brother, และ Vogue โดยสินค้าส่วนใหญ่ของ Luxottica มีฐานการผลิตอยู่ในอิตาลี และมีหน้าร้านที่อยู่ภายใต้ชื่อว่า Sunglass Hut และ LensCrafter ก่อนที่จะเข้ามาเทคโอเวอร์เรย์แบนในปี 1999 โดยมีมูลค่าถึง 21,120 ล้านบาท
โดยภายหลังจากเทคโอเวอร์ Ray-Ban ไปอยู่ในกำมือ Luxottica ได้ขยายฐานการผลิตไปยังประเทศจีน พร้อมกับดำเนินการฟื้นฟูภาพลักษณ์แบรนด์ใหม่ทั้งหมด โดยเริ่มจากการหันมาใส่ใจในกระบวนการผลิต เลือกใช้วัสดุคุณภาพแบบจริงจัง ในขณะเดียวกันก็ไม่ลืมที่จะสั่งเก็บเรย์แบนทุกรายการจากร้านสะดวกซื้อและปั๊มน้ำมันต่างๆ เพื่อกำจัดภาพลักษณ์เดิมๆ ให้หมดสิ้น พร้อมทั้งนำผลิตภัณฑ์ใหม่จากเรย์แบนที่ได้รับการพัฒนาคุณภาพแล้ว ไปเสนอให้กับห้างสรรพสินค้ายักษ์ใหญ่อย่าง Neiman Marcus และ Saks Fifth Avenue
เมื่อยุค 2000s เดินทางมาถึง ก็เป็นโอกาสที่ Luxottica เริ่มทำการตลาดใหม่ เรย์แบน เริ่มมีเทคโนโลยีเกี่ยวกับเลนส์ที่น่าสนใจมากขึ้น หนึ่งในนั้นคือเลนส์ Polarized ที่มีคุณสมบัติพิเศษในการช่วยลดความเข้มข้นของแสงได้ถึง 99% และยังมี OLEO Hydrophobic Coating ที่ช่วยป้องกันสิ่งสกปรกไม่ให้เกาะติดเลนส์จนเป็นคราบได้ ทำความสะอาดง่ายขึ้น และเพิ่มความคมชัดของสีให้ชัดเจนขึ้นด้วย ดูเหมือนว่า Luxottica จะจับทางได้และไปได้สวยทีเดียว จากเดิมที่ตั้งใจจะเอาประวัติศาตร์ของ เรย์แบน มาเป็นจุดขายด้วยการเล่าเรื่องใหม่ พวกเขาจึงหันมาพัฒนาเทคโนโลยีเป็นจุดขายแทน

จนเวลาล่วงเลยเข้าสู่ยุค 2010s แว่นกันแดดแบรนด์ดังที่เคยตกต่ำถึงขีดสุด ล้มลุกคลุกคลานและบอบช้ำ เจ็บหนักถึงขั้นสามารถหาซื้อได้แม้กระทั่งในปั๊มน้ำมัน ต้องใช้เวลากว่าทศวรรษในการพาตัวเองกลับเข้าสู่หนทางที่ถูกต้องอย่างที่ควรจะเป็นตั้งแต่เมื่อครั้งเก่าก่อน
การกลับมาที่ยิ่งใหญ่และสมศักดิ์ศรี
ในวันนี้ เรย์แบน กลับมาได้รับความนิยมและครองใจผู้คนอีกครั้งอย่างสง่างาม คุณค่าและตัวตนที่เคยหล่นหายไประหว่างทางก็กลับมาอย่างที่ควรจะเป็น จนขึ้นแท่นเป็นแบรนด์แว่นตาอันดับหนึ่งของโลกและยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกได้อย่างไม่มีข้อกังขา พร้อมพ่วงด้วยสถิติยอดขายที่ดีที่สุดในโลกอีกด้วย โดยจุดแข็งที่ทำให้ เร์ยแบน ยืนยงมาจนถึงทุกวันนี้ก็คือ
#Unique การยืนหยัดที่จะรักษาเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่สื่อให้เห็นแง่มุมของความเป็นอิสระ
#Comfortable วัสดุที่มีน้ำหนักเบาแต่แข็งแกร่ง ทนทาน
#Function เลนส์ที่สามารถสู้แสง ปกป้องดวงตาจากรังสียูวีได้จริง
#Fashionable ดีไซน์ รูปทรง สีสัน ที่คงกลิ่นอายความเป็นแฟชั่นที่หาตัวจับยากและคุกรุ่นอยู่ในทุกชิ้นงาน
นี่จึงเป็นเครื่องการันตีให้ทั่วโลกได้รับรู้ถึงความยิ่งใหญ่ของแบรนด์แว่นตาระดับพรีเมียม ที่มีความเก่าแก่มากดที่สุดในโลกนามว่า “Ray-Ban” ที่ยากจะมีใครโค่นล้มได้ ปัจจุบันบริษัท Luxottica ได้ควบรวมกิจการเข้ากับบริษัท Essilor ซึ่งเป็นบริษัทผลิตเลนส์แว่นตาที่ใหญ่ที่สุดในโลก ภายใต้ชื่อบริษัท EssilorLuxottica การจับมือกันครั้งนี้ทำให้ EssilorLuxottica มีมูลค่าตลาดรวมถึง 1.87 ล้านล้านบาท ซึ่งคิดเป็น 1 ใน 4 ของตลาดแว่นตาโลก และมีสาขามากถึง 9,000 สาขาใน 150 ประเทศ มีพนักงานมากกว่า 85,000 คน! ข้ามฟากมาที่บ้านเรา เรย์แบนเข้ามาเปิดร้านตัวแทนจำหน่ายแห่งแรกในไทยที่สยามเซนเตอร์ และขยายออกไปอีกสองแห่งคือที่ Cazh iconsiam และ Takashimaya iconsiam เพื่อเป็นการสร้างสัมพันธ์และการรับรู้เกี่ยวกับเรย์แบน รวมไปถึงการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่เต็มรูปแบบให้แก่ลูกค้า



ปัจจุบันเรย์แบนมีดีไซน์มากมายถึง 12 รุ่น แต่มีเพียง 3 รุ่น ที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องและครองใจผู้คนทั่วโลกคือทรงนักบินสุดคลาสสิค Aviator, Wayfarer ทรงคลาสสิคอีกรุ่นที่มีความเป็น Unisex และ Clubmaster แว่นทรงเรโทรร่วมสมัยกลิ่นอายวินเทจ ที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ยังขายดีจนติดเป็น TOP Seller ตลอดกาลของเรย์แบน และเป็นไอเท็มที่ Must have ทั้งดาราเซเลบรุ่นเก่ารุ่นใหม่ทั้งไทยและต่างประเทศขาดไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นคริส เฮมส์เวิร์ท แอดัม เลอวีน เอ็มม่า วัตสัน หรือแม้แต่รุ่นเก๋าอย่าง ทอม ครูซ ก็ยังใส่อยู่ ดารานักร้องบ้านเราก็เป็นแฟนตัวยงของเรย์แบนด์อยู่หลายคน อาทิ บอย ปกรณ์ เป้ อารักษ์ ญาญ่า อุรัสยา แร็ปเปอร์สุดเท่อย่างโต้ง ทูพี ก็เทใจให้เช่นกัน
ล่าสุดในปีนี้เรย์แบนได้แต่งตั้ง แจ็คสัน หวัง หรือ Jackson GOT7 เป็นแอมบาสเดอร์คนใหม่ และนั่งแท่นเป็นแอมบาสเดอร์ทั่วโลกคนแรกของแบรนด์อีกด้วย
ทั้งหมดนี้เป็นบทพิสูจน์ที่ตอกย้ำถึงความยิ่งใหญ่ของเรย์แบน ในฐานะแบรนด์แว่นกันแดดอันดับหนึ่งของโลกที่ทั่วโลกรู้จักและให้การยอมรับ จากธุรกิจเล็กๆ ที่เริ่มต้นจากการผลิตเลนส์สายตา เติบโตสู่ยุคเฟื่องฟู เดินทางสู่ความล่มสลาย และกลับมายืนหยัดเป็นเบอร์หนึ่งอีกครั้งได้อย่างสง่างาม เป็นไอเท็มชิ้นสำคัญที่คนส่วนใหญ่ขาดไม่ได้ในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่เพียงสามารถรักษาสไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์ไม่ซ้ำใคร ไม่หยุดยั้งที่จะสร้างสรรค์คอลเลกชันใหม่ๆ โดยไม่ทิ้งรูปทรง เลนส์แบบดั้งเดิม กลิ่นอายความเป็นแฟชั่น อีกทั้งความใส่ใจในกระบวนการผลิตด้วยเทคโนโลยีทันสมัย เลือกเฟ้นวัสดุระดับพรีเมียมและคุณสมบัติที่ยอดเยี่ยม… เรย์แบนจึงเป็นอีกหนึ่งตำนานที่ได้รับการกล่าวขวัญถึงทุกยุคทุกสมัยยากที่จะมีใครโค่นล้มได้
หากคุณเป็นคนหนึ่งที่หลงรัก Ray-Ban มาตั้งแต่ต้นคงรู้สึกไม่ต่างกัน !
NANT